วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตัวอย่างของ การทำ E-Business ในภาคเอกชน

ให้นักศึกษา ค้นหาตัวอย่างของ การทำ E-Business ในภาคเอกชน   พร้อมอธิบายถึงการทำงาน และการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ กับ ธุรกิจ ในรูปแบบของ E-Business
ความหมายของ E-Business 
        หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของคู่ค้าและลูกค้าให้ตรงใจและรวดเร็ว เพื่อลดต้นทุนและขยายโอกาสทางการค้าและบริการ

ตัวอย่างของการทำ E-Business ของ >> Tesco Lotus<<
หน้าเว็บไซต์ของ เทสโก้โลตัส หรือบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวซิสเทม จำกัด

           เทสโก้โลตัส (อังกฤษ: Tescolotus)เป็นกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในเมืองไทย เปิดทำการเมื่อปี พ.ศ. 2537 เดิมใช้ชื่อว่า โลตัส โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ของไทย ในนามของบริษัทเอก-ชัย ดิสทริบิวชั่นซิสเทม จำกัด เจ้าของ โลตัสซูเปอร์เซ็นเตอร์ ขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับกลุ่มเทสโก้เมื่อปี พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติจากสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นที่มาให้เกิดการควบรวมชื่อเป็น เทสโก้โลตัส ในปัจจุบัน 
            การประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศกับธุรกิจในรูปแบบของ E-Business 
                   หากดูจากเว็บไซต์ของเทสโก้โลตัส หรือบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวซิสเทม จำกัดแล้วจะพบว่ามีการออกแบบเว็บไซต์ที่ทันสมัย รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หน้าเว็บไซต์อธิบายถึงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวบริษัท  เทสโก้โลตัส หรือบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวซิสเทม จำกัดเป็นอย่างดี หากคลิกเข้าไปในบริการสินค้าออนไลน์ก็จะมีการกำหนดรายละเอียดของสินค้า มีการตัดราคาให้ผู้บริโภคเห็น มีรูปภาพประกอบ มีเงื่อนไขการสั่งซื้อไว้อย่างชัดเจน การลดราคาของสินค้า และมีการบริการด้านการเงิน





วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สาเหตุใดที่ทำให้ธุรกิจ E-commerce ในประเทศไทย ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ให้นักศึกษาวิเคราะห์ประเด็นต่อไปนี้ แล้วแสดงความคิดเห็นและตอบคำถามจากประเด็นปัญหาต่อไปนี้
1. สาเหตุใดที่ทำให้ธุรกิจ E-commerce ในประเทศไทย ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
          1.  การนำเสนอข้อมูลเว็บไซต์เพราะเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักขาดการนำเสนอรายละเอียดของสินค้าที่ดี เพราะรายละเอียดของสินค้าถือเป็นปัจจัยหลักของของเว็บไซต์ขายของเนื่องจากเป็นส่วนที่บอกรายเกี่ยวกับตัวสินค้า ทั้งรูปร่าง การใช้งาน หรือแม้แต่วัสดุที่ใช้ทำ ในบางเว็บนั้นใส่รายละเอียดของสินค้าน้อยเกินไปหรือไม่ก็มากเกินไปและไม่มีการใส่นโยบายการที่สำคัญ เช่น รับคืนสินค้าเพราะเจ้าของกลัวที่จะต้องรับคืนสินค้า
                 2. ความรู้เกี่ยวกับสินค้าที่ตนเองขายเพราะเว็บไซต์ที่ขายจากบางเว็บไวต์นั้น ผู้ขายไม่มีความเกี่ยวกับของที่ตนเองขายเมื่อลูกค้ามีการสอบถามเกี่ยวกับตัวสินค้าที่ขายทำให้ไม่สามารถตอบลูกค้าได้ว่าสินค้าที่ขายดีไม่ดีอย่างไรทำให้ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของลูกค้า
                 3. ขาดการวางแผนการตลาดและการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ขายของเกิดขึ้นมาใหม่นั้นมีเพิ่มทุกวันดังนั้นจึงควรมีการประชาสัมพันธ์ เพราะถ้าไม่มีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์แล้วจะทำให้เว็บไซต์นั้นจะไม่เป็นที่รู้จักและขายสินค้าไม่ได้และควรมีการทำการส่งเสริมการขายควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์เพราะถ้าผู้ซื้อคลิกเข้าไปซื้อแล้วเจอแต่ของเดิมโปรโมชั่นหมดไปแล้วแต่ยังไม่เอาออกไปจะทำให้ขาดความเชื่อมั่นได้
                4. การออกแบบเว็บไซต์ขายสินค้ามักจะออกแบบไปคนทางกับของที่ขายหรือออกแบบมากเกินไปกล่าวใส่สีใส่ตัวการ์ตูนมากเกินไป และออกแบบให้เข้าใจได้ยากทำให้ผู้ซื้อไม่อยากที่จะเข้าซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ และควรออกแบบให้ค้นหาสินค้าได้ง่าย
                5. ระบบการชำระเงินของเว็บไซต์ขายสินค้าในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการชำระผ่านธนาคารโดยเป็นชำระเงินก่อนแล้วรับของที่หลังซึ่งมักจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องจ่ายเงินไปแล้วได้รับสินค้าทำให้เว็บไซต์ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือจากผู้คนโดยทั่วไป
                6. อีเมล์ของเจ้าของเว็บเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการซื้อขาย ส่วนใหญ่แล้วเว็บไซต์ขายของนั้นจะใช้อีเมล์ที่เป็นฟรีเมล์ ซึ่งบางเว็บนั้นเป็นเว็บที่ทำขึ้นเองแต่กลับไปใช้ฟรีอีเมล์ เช่นhotmail Gmail yahoo เป็นต้นทั้งที่น่าจะเป็น อาทิเช่นเว็บไซต์ www.shoptoyboy.com อีเมล์ที่ใช้ก็ควรเป็น info.shoptoyboy.com

2.  ถ้าอยากจะให้ระบบการขายสินค้าในรูปแบบ E-commerce ในประเทศไทยประสบความสำเร็จ น.ศ.คิดว่าควรจะต้องประกอบด้วยปัจัยใดบ้าง
                1.  การนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสมแก่ลูกค้าการให้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าแบบที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดและครอบคลุมมากที่สุดและแจกแจ้งรายละเอียดการสั่งซื้อสินค้าหรือการส่งคืนการชำระเงินและอื่นให้แก่ลูกค้าเข้าได้ง่าย
                      2. ต้องเข้าใจและรู้เกี่ยวกับสินค้าที่ขายในเว็บไซต์บ้างเพื่อเป็นการบอกรายละเอียดของสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ถามมาและจะทำให้เว็บไซต์ของเป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย
                      3. การวางแผนจัดทำเว็บไซต์ขายสินค้าเพื่อที่จะได้ทำเว็บไซต์ที่เหมาะสมแก่การขายสินค้าและบริการการทำเว็บไซต์ให้ดูเตะตาและเข้าใจง่ายเมื่อผู้ซื้อเข้ามาซื้อสินค้าก็สามารถเข้าใจวิธีซื้อขายได้ทันทีและสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ง่าย การใช้ระบบชำระเงินที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าที่มาซื้อสินค้าและส่งของตามที่กำหนดและสามารถติดตามดูสินค้าได้ว่างตอนสินค้าอยู่ที่ไหน
                      4. ต้องมีการวางแผนการตลาดที่ดีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะขายสินค้าเพื่อที่ขายได้ตรงจุดที่ต้องการขายและการประชาสัมพันธ์สินค้าและเว็บอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เว็บไซต์ไม่ตกหรือหายไปจากโลกออนไลน์และควรมีการจัดการคืนกำไรให้ลูกค้าบางในบางครั้งเพื่อเป็นแรงจูงใจในการซื้อสินค้าของลูกค้าเพื่อเพิ่มยอดขายและกระตุ้นความยากซื้อของลูกค้า

"SO LO MO" Social Media Location Mobile คืออะไร

    So ย่อมาจากคำว่า Social แปลกันตรง ๆ ตัวคือ สังคม แต่ไม่ใช่สังคมธรรมดา แต่มันเป็นสังคมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันที่โด่งดังคือ Facebook , Twitter ณ วันนี้ (11 มิย. 2012) มีคนใช้งานทั่วโลกแล้วมากกว่า 2 พันล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 5 พันกว่าล้านคนทั่วโลก และใน 1 นาที มีคนโพสต์ข้อความใน Facebook มากกว่า 700,000 ข้อความ และมีคนค้นหาข้อมูลใน Google มากกว่า 700,000 ครั้ง
  Lo ย่อมาจากคำว่า Location แปลว่า สถานที่ สถานที่ในที่นี้หมายถึงอะไร หมายถึง Google Map ตอนนี้หลายเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าออนไลน์ บริษัท หรือแม้แต่เว็บไซต์ส่วนตัวได้มีการใช้งาน Application ที่ชื่อว่า Google Map เข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจการเลือกซื้อสินค้าหรือทัวร์ต่าง ๆ เช่นการปักหมุดร้านค้า หรือ สถานที่ท่องเที่ยวของเจ้าของเว็บไซต์หรือทัวร์ต่าง ๆ
   Mo  ย่อมาจากคำว่า Mobile ในที่นี้ไม่ใช่แค่โทรศัพท์มือถือธรรมดา แต่เป็น SmartPhone , iPhone , Tablet ต่าง ๆ ที่ได้ถูกพัฒนา Application บนมือถือเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดออนไลน์ในอนาคต ถ้าสังเกตุดีดี บนรถไฟฟ้าหรือตามสถานที่ต่าง ๆ จะมีคนใช้โทรศัพท์กันมากขึ้นแต่ไม่ใช่โทรศัพท์คุยนะค่ะ แต่เป็นในลักษณะเลื่อนหน้าจอเพื่อค้นหาข้อมูล อัพเดทสถานะหรือแม้แต่พูดคุยกับเพื่อนออนไลน์
so lo mo
ZMOT คืออะไร
                คือช่วงเวลาที่ลูกค้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ก่อนหน้าที่จะไปถึงร้านค้าจริงกล่าวคือการค้นหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวของสินค้าที่เกิดขึ้นก่อนการไปที่หน้าร้านจริง โดยการเริ่มต้นการหามูลจาก รีวิวหรือสื่อๆ ทั้ง youtube Social Media หรือแม้แต่การใช้โทรศัพท์เพื่อดูรายละเอียดสินค้านั้นๆ  เพื่อเป็นข้อมูลก่อนก่อนการตัดสินใจไปซื้อสินค้าที่หน้าจริง

               โดยทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับ E-commerce ทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยทั้งสองนี้นั้นเป็นการทำการตลาดและวิเคราะห์ผู้สินค้า เพราะส่วนใหญ่ผู้ซื้อสินค้าในปัจจุบันนั้นสามารถทำการซื้อขายกันได้ใช้สมาร์ทโฟน เพียงเครื่องเดียวและถ้าสินค้าไหนดีก็จะมีการแชทบอกต่อๆกัน การหาข้อมูลต่างๆเองก็ทำง่ายขึ้นผ่านทาง Social Media ต่างๆ และทำให้ผู้ซื้อขายสามารถสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรื่อง "Online Business with Google"

ให้ น.ศ. ฟังบรรยายเรื่อง "Online Business with Google" แล้วปฏิบัติดังนี้ 
1.สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟัง ลงใน Web Blog ของ น.ศ. 
                ระบบสังคมออนไลน์ต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการระหว่างกันในการเลือกสินค้าและบริการ ด้วยการนำ ZMOT มาใช้ ZMOT ซึ่ง คือการเติบโตของอินเทอร์เน็ตและเครื่องมือที่ใช้เชื่อมต่ออย่างสมาร์ทโฟนซื่งจะมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
                ZMOD ย่อมาจาก Zero Moment of Truth จุดก่อนกำเนิดของกระบวนการคิดและกระบวนการซื้อสินค้า 

            ผู้ดำเนินธุรกิจต้องประยุกต์มาใช้ดิจิตอล 3.0 ที่สามารถค้นเจอของหน้าของการค้นหาของ Google ได้ ซึ่งการค้นหาพบได้นั้นจะต้องมีปัจจัยประกอบ ดังนี้
              1.  Get your business online คือ การเข้ามามีตัวตนบนโลกออนไลน์ การสามารถค้นพบได้ด้วย Search Engine ซึ่งให้เราอยู่ในผลการค้นหาได้ โดยส่วนใหญ่จะใช้Google ในการค้นหา ซึ่งการค้นพบเป็นลำดับแรกๆจะต้องอาศัยค่า Page rang คือข้อมูลและจากจำนวนการเข้าชม ซึ่งจะเป็นค่าสะสมไว้ในการค้นหา    
              2.  Be found – when customer is searching คือ การสามารถค้นพบได้จากการค้นหาเป็นลำดับแรก ๆ ซึ่งอาจเป็นการค้นหาเจอได้โดยทั่วไป ซึ่งจะต้องทำให้ค่า Page rang สูง หรือการค้นหาเจอโดยการซื้อตำแหน่งคำค้นหาหรือการโฆษณาโดยการค้นหาหรือ Google Adwords
              3.  Be reached – show where you are คือ การสามารถค้นหาเจอได้จากแผนที่อาจผ่านทาง Google maps เพื่อระบุตำแหน่งของห้างร้านคุณ     
              4.  Get closer to your customers คือ การใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น โดยการผ่านทางGoogle plus ทำให้เสนอข้อมูลและคุยกับลูกค้าได้ ซึ่งปัจจุบัน Googleสร้างพื้นการสนทนาแบบ Rail Conversations คือการคุยผ่าน วีดีโอConference นั่นก็คือGoogle plus Hangouts เป็นการเปิดพื้นที่ในการสนทนาหลายคนพร้อมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือการนำเสนอสินค้าได้ ตลอดจนการเรียกเอกสารขึ้นมาดูหรือใบเสนอราคามาใช้ได้ อีกทั้งยังสามารถเผยแพร่ออกไปให้ผู้อื่นรับชมได้คล้ายถ่ายทอดให้รับชม     
              5. Increase your performance คือ การสร้างรายงาน โดย Google narcotic เพื่อวัดการเข้าดูแบบทันทีทันใดในขณะนั้น การตรวจสอบรายละเอียดของผู้เข้าชมเพื่อวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ 
             6.  Go Global (AEC) คือ การเข้าถึงได้ทั่วโลก คือ Google มีความสามารถในการช่วยในด้านภาษาก็สามารถช่วยในการแปลภาษาให้เข้าใจระหว่างกันได้ ทำให้ภาษไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสารด้วย Google translate
             7.  Engage your customer anywhere anytime คือ การค้นหาบนมือถือไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าถึงโฆษณาเราได้ ซึ่งต้องออกแบบให้เป็น Mobile siteเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ 

2.หาคำศัพท์ที่ได้จากการรับฟังพร้อมหาความหมาย เพื่ออธิบายคำศัพท์ดังกล่าว อย่างน้อย 20 คำ แล้วสรุปใน Web Blog
            1. Google adwords เป็นการค้นหาให้เป็นลำดับแรกๆโดยการโฆษณาให้เป็นลำดับแรกจากการค้นหา เมื่อผู้เข้าชมคลิกทุกครั้งผู้ที่จ้างก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่มีการคลิก
            2. Moment คือ การดำเนินการในขณะนั้น

  3. Search คือ การค้นหา
  4. Be found คือ การค้นพบ
  5. Search engine optimization (SEO) การเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในเสิร์จเอนจิน 
  6.  Global คือ ความทั่วถึง การเข้าถึงทั่วโลก
  7.  First Moment of Truth คือ เมื่อเข้าไปในสโตร์ แล้วสามารถเห็นสินค้าทันที
  8. Second Moment of Truth คือ การที่เราใช้สินค้า แล้วรู้สึกว่าสินค้านี้ตอบโจทย์ ตอบความคาดหวังของเรา
  9.  Natural Result คือ ผลที่ได้ออกมาตามธรรมชาติ
           10.  Page Rang คือ หน้าหลักของเว็บไซต์นั้นๆ ที่ใช้ในการติดต่อ
           11.  Map คือ แผนที่
           12. Success คือ ประสิทธิผล การประสบความสำเร็จ
           13. Street view คือ มุมมองที่เสมือนจริง
           14. segment คือ ส่วนประกอบ
           15. Conversations คือ การสนทนา     
           16. Increase คือ การเพิ่มขึ้น      
           17. Performance คือ การปฏิบัติ      
           18. Rail time คือ การทำงานแบบตอบสนองทันทีทันใด
           19. Engage คือ การประกอบ      
           20. mobile Site เปรียบเทียบกับการโฆษณาบน website ทั่วไปนั้น คือความไม่แออัด ของโฆษณา เนื่องจากปกติแล้วในแต่ละ mobile site จะมี banner โฆษณาเพียงหนึ่งชิ้นต่อหน้า แต่บน website ทั่วไปมักจะมีหลายโฆษณา รูปแบบการโฆษณาผ่านมือถือ



การทำธุรกิจและการตลาดในยุคดิจิทัล 3.0


1.สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟัง ลงใน Web Blog ของ น.ศ. 

Media แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
1. Owned media เป็นสื่อเว็บไซต์ที่เราเป็นเจ้าของเอง
2. Paid media สื่อที่เราต้องจ่ายเงินซื้อประเภท Branner, Sponser ship
3. Earned Media ลูกค้าเป็นเจ้าของ โดยมีการพูดถึงธุรกิจกับลูกค้าด้วยกัน
4. Social Media เจ้าของธุรกิจเป็นผู้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง เสนอข้อดีของธุรกิจให้กับผู้บริโภค
การนำ Co-creation ไปใช้ประโยชน์ใน Social Media การให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้า การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ประกอบการโดยตรง ผ่านสื่อ Social ต่าง เช่น facebook การกดไลค์โดยไม่มีผู้ Comment หรือแลกเปลี่ยนความเห็นก้อไม่มีประโยชน์อะไรในธุรกิจ และะยังช่วยในการประหยัดเรื่องการทำนวัตกรรทใหม่ๆ อีกด้วย
ในยุคแรกๆ การทำ Awareness เปรียบเสมือนการขับเคลื่อนในการสร้าง Brand ของธุรกิจ แต่ปัจจุบันเราต้องมองในด้านของการสร้างไดอะล็อกในการบทสนทนา Dialog Conversation ระหว่างธุรกิจและลูกค้า เปลี่ยนจาก Customer มาเป็นคำว่า Fans ความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบ Share ข้อมูลระหว่างกัน
2.หาคำศัพท์ที่ได้จากการรับฟังพร้อมหาความหมาย เพื่ออธิบายคำศัพท์ดังกล่าว อย่างน้อย 20 คำ แล้วสรุปใน Web Bblog
1. Influencer Marketing คือ แนวคิด Influencer Marketing นักการตลาดจำเป็นต้องใช้สัญชาตญาณ และการสังเกตเล็กน้อย ก่อนจะเลือกใครสักคนใน Community แต่ละเรื่องมาเป็นผู้ทรงอิทธิพล จำเป็นต้องเรียนรู้พฤติกรรมการตอบสนองของเขาต่อผู้ที่ติดตาม และต้องเฝ้าวิเคราะห์
2. Buzz Marketing คือ การตลาดแบบผึ้งแตกรัง
3. Community Marketing คือ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทำให้การตลาดสินค้าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดการตลาดแบบใหม่
4. Cause Marketing คือ การเชื่อมธุรกิจของคุณเข้ากับองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร (NGO) หรือองค์กรการกุศลต่างๆ ซึ่ง เป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยส่งเสริมธุรกิจ
5. Referral Marketing คือ การตลาดแบบแนะนำบอกต่อ
6. Evangelists Marketing คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่มักจะนิยมและนำไปใช้เกือบทุกๆ ครั้งของการรวมกลุ่มมวลชนหรือการสร้างม็อบก็คือ Evangelist marketing
7. Content Marketing คือ การนำ Content หรือเนื้อหา มาเป็นส่วนหลักในการทำการตลาด
8. Change of costomer การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ผู้ประกอบการควรรู้
- ความมีอิสระต่างๆ ไม่ขึ้นกับใคร การแสดงความคิดเห็นชอบ ไม่ชอบอย่างไม่สนใจใคร
- มีบทบาทเป็น Reviewer มีการวิจารณ์มากขึ้น การประกาศได้ง่ายในกลุ่มของ Publisher การกระจายข่าวได้ง่ายและกว้าง
- การสร้างบทสนทนาที่ดีระหว่างธุรกิจกับลูกค้า การตอบโต้พูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็นกันข้อดี ข้อเสียของสินค้า
- การคำนึงถึงความโปร่งใส จริงใจ ในยุคนี้เป็นยุค open เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเข้าถึงได้ง่าย การนำข้อมูลของผู้อื่นไปใช้ ทั้งภาพรูป เสียง สมควรที่จะมีการอ้างถึง หรือทำ Credit
- การอาศัยความร่วมมือของผู้บริโภค เพื่อประยุกต์ใช้ด้านการตลาด
- การหาข้อมูลจากสื่อเทคโนโลยีต่างๆ ผู้บริโภคจะฟังข้อมูลจากบุคคลอื่นมากกว่า เจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการ ส่วนมากจะเชื่อคำวิจารณ์จากลูกค้าด้วยกันที่เคยใช้บริการมาแล้ว
9. Alway on & Control ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ออนไลน์ตลอดเวลา และอำนาจส่วนใหญ่อยู่ในมือผู้บริโภค
ขั้นตอนแรกในการสร้าง Product offering
- Awarneness การทำให้ผู้บริโภครู้จัก
- จากนั้น การทำ Involvement การทำให้เกิดมีส่วนร่วมกับธุรกิจ
- จากนั้น การทำ Trial มีการให้ลูกค้าทดลองสินค้า แล้วเกิดความชอบสินค้าของธุรกิจ
- จากนั้น การทำ Commitment เมื่อชอบแล้วมีการบอกต่อให้กับผู้บริโภคคนอื่น
- สุดท้ายของการทำ Referral ต้องทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในสิค้า และกล้าแนะนำให้ผู้บริโภคคนอื่นที่ไม่รู้จักมาใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ ต้องติดต่อเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ให้ข้อมูลสินค้าแก่ลูกค้าได้ มีการทำ Entertainment Value ต้องมีการ Share Brand ธุรกิจ ระหว่างผู้บริโภคด้วยกัน สามารถทำให้ลูกค้ามีความสุข ประทับใจธุรกิจ
10. Change of marketing การเปลี่ยนแปลงของการตลาด
11. Transaction Marketing เปรียบได้กับการซื้อมา ขายไป การแลกเปลี่ยนแบบมีสถานที่ หรือตลาดคงที่ สามารถจับต้องได้ ลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจเท่านั้นในการซื้อสินค้า การบริโภคของลูกค้าองค์กรธุรกิจสามารถกำหนดคามต้องการของผู้บริโภคได้ เหมือนหยิบสินค้าใส่มือผู้บริโภค
12. Relatioship Marketing เป็นการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ แบบ One on One ลงทุนในระยะยาว ความจงรักภักดีของลูกค้าต่อธุรกิจ ด้านการตลาดไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่ที่จับต้องได้ ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าเท่านั้น บทบาทของธุรกิจมีการสำรวจกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค
13. Collabrative Marketing ความสัมพันธ์การตลาดแบบ Many to Many การร่วมกลุ่มกันทำการตลาด ลูกค้ามีส่วนช่วยในการโฆษณา ออกความคิดเห็นได้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าได้ตามความต้องการ การใช้หลักการ Co created experence การได้มีส่วนร่วมในการสร้างสินค้าร่วมกัน ด้านการตลาดมีตลาดเปรียบเสมือนเวที สร้างรายการสินค้า เปลี่ยนแปลงรูปแบบหน้าร้านได้เสมอ ความสัมพันธ์ไไม่ได้มองเพียงธุรกิจ กับลูกค้าแต่รวมถึง คู่แข่ง และคนที่ไม่ใช่ลูกค้าทุกๆ คนด้วย ด้านธุรกิจ ใช้ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินใจในตัวสินค้าแล้วบอกข้อมูลแก่ธุรกิจ
14. Brand can use Co-creation การทำ Co-creationมีสว่นช่วย Brand ในเรื่องใดบ้าง
- ช่วยในด้านการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นการให้ลูกค้าคิดสูตรอาหารที่ต้องการเอง การให้ลูกค้า
- ออกแบบเสื้อแล้วนำมาแชร์กันเพื่อผลิตออกจำหน่าย ช่วยในด้านการสร้างความสัมพันธ์ จากความสนิท คุ้นเคย ปรึกษาหรือพูดคุยอยู่บ่อยๆ
- ช่วยในด้านการให้บริการ การออกความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าและบริการ
- ช่วยในด้านการเก็บข้อมูล การสำรวจข้อมูลไปใช้ในการทำวิจัย
- ช่วยในด้านการจัดแบ่งกลุ่มผู้บริโภค
- ช่วยในด้านการพัฒนาองค์กร ธุรกิจของผู้ประกอบการ
15. The world of communication is ever Changing การเปลี่ยนแปลงในเชิงการสื่อสาร
16. Awarneness การทำให้ผู้บริโภครู้จัก
17. Conversation Marketing คือ การตลาดที่เกิดมาจากการสนทนากันแต่ที่คนพูดถึงคำๆ นี้ เขาว่ากันว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่าการคุย
18. Product Marketing คือ การวางแผนทางการตลาด
19. Brand Marketing คือ การทำให้ สองส่วนนี้เข้าใกล้กันและกัน ยิ่งเราสามารถทำให้ใกล้กันแค่ไหน Brand ที่ส่งออกมาก็จะชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
20. Viral Marketing คือ การตลาดแบบไวรัส